วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

หนุ่มท้องสหรัฐเปิดใจ ตื่นเต้นสวรรค์ประทานมีลูก

หนุ่มท้องสหรัฐเปิดใจได้เป็นคุณแม่ สุดปลื้ม-ตื่นเต้น ระบุได้ลูกถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของชีวิต บอกจะยืดอกปรากฎตัวต่อผู้คนในสภาพผู้ชายท้องโย้โดยไม่กลัวข่าว ขณะที่ภรรยาอยู่เคียงข้างให้กำลังใจเต็มที่

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายโธมัส บีทตี้ ผู้หญิงมะกันวัย 34 ปี ซึ่งได้แปลงฮอร์โมนเป็นชายเมื่อ 10 ปี ก่อน ผู้ตกเป็นข่าวดังครึกโครมว่าเป็นผู้ชายท้องคนแรกของโลกเมื่อเร็ว ๆ นี้ กล่าวใหสัมภาษณ์ทางรายการโทรทัศน์สหรัฐ ดำเนินรายการโดยนางออฟราห์ วินฟรีย์ พิธีกรชื่อดัง ว่า เขาไม่ได้ต้องการจะมีลูกเพราะตัวเองเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่เพราะเป็นมนุษย์ธรรมดา ๆ ที่ต้องการมีทายาท โดยแม้ว่าเขาจะมีสภาพร่างกายเป็นชาย แต่การตั้งท้องก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิง

นอกจากนี้ หนุ่มท้องสหรัฐรายนี้ยังเปิดเผยว่า เขาเลือกที่จะไม่ตัดทิ้งอวัยวะเพศเพราะตัวเองอยากจะมีลูกสักวันหนึ่ง และแทบไม่เชื่อเมื่อยามที่ตัวเองตั้งท้อง หลังจากได้ไปอัลตร้าซานด์ 'เราเห็นเธอเป็นสิ่งมหัศจรรย์เล็ก และเป็นเจ้าหญิงน้อย ๆ ของพ่อ'เขากล่าว

ด้านนางแนนซี่ ภรรยาของนายโธมัสบอกว่า เธอและสามีจะยังคงดำเนินชีวิตต่อไปตามปกติ โดยเธอจะทำหน้าที่เป็นแม่ และนายโธมัสทำหน้าที่เป็นพ่อ และว่าเรื่องนี้จะไม่ขัดต่อกฎหมายเพราะกฎหมายรัฐชิคาโก้ยอมรับว่านายโธมัสเป็นผู้ชาย และว่าลูกของพวกเขาสุขภาพแข็งแรงยิ่ง และชี้ว่ามันเป็นการตั้งท้องที่สมบูรณ์บบ นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังกล่าวด้วยว่า พวกเขาจะปรากฎตัวต่อผู้คนในสภาพนายโธมัสตั้งท้อง เพราะไม่ต้องการให้กระแสข่าวมีอิทธิพลต่อชีวิตของพวกเขา

รายงานระบุว่า นายโธมัสได้ตั้งท้องด้วยวิธีฉีดอสุจิเข้ารังไข่ของเขา หลังจากภรรยาของเขาได้ซื้ออสุจิจากธนาคารอสุจิแห่งหนึ่ง โดยนายโธมัสตัดสินใจที่จะเป็นชายเมื่อ 10 ปีก่อน และเริ่มฉีดฮอร์โมนเพศชาย และตัดต่อมนมออก

ด้านพิธีกรดังสหรัฐกล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นกับนายโธมัส ชี้ว่าเป็นการพัฒนาการจำกัดความใหม่ของสิ่งที่มีความหมายของมนุษย์ทุกคน




ข่าวที่ 2 โปรตีนช่วย"HIV"พรางตัว
ที่มา หนังสือพิมพ์โลกวันนี้
ฉบับวันที่ 04 เมษายน พ.ศ. 2551

วอชิงตัน : นักวิจัยสหรัฐค้นพบโปรตีนที่ช่วยให้ไวรัสเอชไอวีสามารถซ่อนตัวกลมกลืนไปกับเซลล์มนุษย์ได้ด้วยการแทรกแซงกลไกชี้เป้าให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเข้าทำลายบนพื้นผิวเซลล์ และทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเชื่อว่ามันเป็นเพียงของเสียภายในเซลล์ อนาคตอาจช่วยป้องกันการติดเชื้อและโรคเอดส์ได้ตั้งแต่จุดเริ่มต้น

นิตยสารสุขภาพออนไลน์เฮลธ์เดย์ นิวส์ รายงานผลการศึกษาของนักวิจัย นำทีมโดย ดร.แคธลีน คอลลินส์ จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ที่ค้นพบวิธีที่ช่วยให้เชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์สามารถซ่อนตัวในเซลล์มนุษย์ได้โดยไม่ถูกเซลล์ภูมิคุ้มกันเข้าทำลาย

โดยปรกติเมื่อไวรัสเข้าสู่ร่างกาย เช่น ไวรัสหวัดธรรมดา ระบบภูมิคุ้มกันจะมีปฏิกิริยาตอบสนองและผลิตเซลล์ออกมาเพื่อกำจัดไวรัสดังกล่าว แต่ไวรัสเอชไอวีสามารถทำให้ตัวเองกลมกลืนเป็นเสมือนของเสียภายในเซลล์ แทนที่จะกลายเป็นเป้าหมายให้เห็นได้อย่างชัดเจนบนพื้นผิวเซลล์ด้วยการสร้างโปรตีนชื่อว่า Nef มาช่วย

ทั้งนี้ โปรตีนดังกล่าวไปแทรกแซงการทำงานส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันที่ช่วยให้เซลล์ภูมิคุ้มกันจำเซลล์ติดเชื้อได้ด้วยการโชว์ชิ้นส่วนต่างๆของไวรัสหรือแบคทีเรียบนพื้นผิวเซลล์และเป็นเป้าให้ทำลาย แต่ในกรณีของไวรัสเอชไอวีเมื่อติดต่อเซลล์โปรตีน Nef จะเข้าไปยึดติดกับกลไกข้างต้น และดัดแปลงเพื่อทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเชื่อว่าไวรัสเป็นของเสียในถังขยะของเซลล์มากกว่าอยู่บนพื้นผิวที่สามารถมองเห็นได้

ดร.คอลลินส์ชี้ว่า นอกจากนี้แล้วโปรตีน Nef ยังช่วยให้เซลล์อื่นๆผลิตโปรตีนชนิดอื่นๆออกมาเสริมเพื่อช่วยให้เชื้อเอชไอวีซ่อนตัวจากเซลล์ภูมิคุ้มกัน และในเวลานี้นักวิจัยสามารถพัฒนาสารยับยั้งการทำงานของโปรตีนเหล่านี้ รวมถึงสกัดกั้นการทำงานของ Nef ด้วย ซึ่งอาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันตรวจพบและทำลายเชื้อเอชไอวีได้ ซึ่งจะเป็นการช่วยป้องกันโรคเอดส์ได้นับแต่เริ่มต้น

อนึ่ง นักวิจัยส่วนใหญ่เชื่อว่าไวรัสเอชไอวีมีแหล่งกำเนิดอยู่ในเขตอนุทวีปหรือดินแดนซับซาฮาราของทวีปแอฟริกา และระบาดไปทั่วโลก จากตัวเลขในปี 2007 เชื่อว่ามีประชาชนทั่วโลกที่มีชีวิตอยู่พร้อมกับเชื้อไวรัสเอชไอวีและโรคเอดส์ประมาณ 33.2 ล้านคน และเชื้อไวรัสร้ายนี้ได้คร่าชีวิตประชาชน 2.1 ล้านคน ในจำนวนนี้รวมถึงเด็กๆ 330,000 คน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น